หากจะพูดถึงความเป็นซีรีส์ “Coming of age” ชาติไทยเมื่อหลายปีก่อน ก็คงจะหนีไม่พ้นซีรีส์ LGBTQ ที่ได้รับความนิยมจากทั้งไทยและเทศ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” หลังจากทลายกำแพงความเป็นซีรีส์วายด้วยการเปิดเรื่องพร้อมด้วยตัวละครหลัก “เต๋” (แสดงโดย บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) เด็กหนุ่มมัธยมปลายผู้ไม่รู้หัวใจตนเอง ที่กำลังจะเริ่มก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนช่วงวัยครั้งสำคัญ โดยมี “ตาล” (แสดงโดย สมาย – ภาลฎา ฐิตะวชิระ) เด็กสาววัยมัธยมปลายชั้นปีเดียวกับเต๋ ที่กำลังจะก้าวสู่สถานะแฟนของเต๋ในอนาคต รวมไปถึงเรื่องราวของอดีตเพื่อนรักอย่าง “โอ้เอ๋ว” (แสดงโดย พีพี – กฤษฎ์ อำนวยเดชกร) ที่เข้ามาเติมเต็มให้ความสับสนของเต๋เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และนั่นตรงกับคอนเซ็ปต์ “เด็กชายผู้ไม่รู้หัวใจตนเอง” อย่างแท้จริง

ภาพจากเพจ นาดาวบางกอก

นอกเหนือจากภาพและสัญญะอันงดงามในเรื่องและความรู้สึกที่สร้างอิทธิพลต่อใจผู้ชมหลายท่านแล้ว นั่นรวมไปถึงความหลากหลายทางเพศที่ส่งผ่านซีรีส์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ชมชาวไทยและผู้ชมต่างชาติอย่างล้นหลาม การผ่านช่วงวัยและการตัดสินใจครั้งสำคัญของตัวละครหลักอย่าง “เต๋” และ “โอ้เอ๋ว” อาจทำงานต่อความทรงจำบางอย่างของผู้ชมบางท่าน และนั่นคือสิ่งที่ “Coming of age” ต้องการจะสื่อกับผู้ชม และหากผู้ชมหลายๆท่านได้มองย้อนกลับไป เราจะเห็นได้ว่าซีรีส์เรื่องนี้แตกประเด็นออกมาได้อย่างหลากหลาย ไม่แม้แต่เรื่องความหลากหลายทางเพศที่มีอิทธิพลต่อใจของผู้ชมเท่านั้น เราจะได้เห็นความเป็นการสะท้อนสังคมไทยผ่านตัวซีรีส์ รวมไปถึงมายาคติบางอย่างที่อาจทำให้ผู้ชมบางท่านย้อนระลึกถึงเรื่องบางอย่างก็เป็นไปได้

ภาพจากเพจ นาดาวบางกอก

“ความหลากหลายทางเพศในมุมมองของผู้ใหญ่” มายาคติของตัวซีรีส์ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน

ปัจจัยคำว่า “ครอบครัว” คือเหตุผลหลักที่ทำให้เต๋เริ่มสับสนในตัวเอง “เราชอบผู้ชายได้ไหม?” “ถ้าเราจะชอบผู้ชายล่ะ?” “ม๊าจะคิดยังไง?” ทั้งหมดล้วนเป็นคำถามที่เต๋ถามกับตนเองและ “โก๊หุ้น” (นำแสดงโดย นัท – ณัฏฐ์ กิจจริต) พี่ชายผู้อ่อนโยนผู้เปิดประตูหัวใจให้กับเขา เด็กในกรอบอย่างเต๋ไม่อาจทลายกรอบเพศที่ครอบครัวของเขาเป็นคนสร้างเอาไว้ให้ได้ นั่นคือเหตุผลหลักที่เขาไม่สามารถให้ความชัดเจนกับผู้ชายที่เขารักอย่างโอ้เอ๋วได้ แต่เมื่อชุดความคิดเก่าของเขาถูกปลดล็อค เขาจึงกลายเป็นผู้กล้าที่จะเดินหน้าเข้าไปบอกรักโอ้เอ๋วในตอนท้ายของเรื่องจนได้ ผู้ชมหลายๆท่านอาจหงุดหงิดในความเป็นเต๋ เมื่อความสับสนของเต๋เริ่มทำงาน ความรู้สึกสงสารของผู้ชมที่มีต่อโอ้เอ๋วก็เริ่มเพิ่มขึ้นมาในทันที แต่ถ้าหากเราได้มองย้อนกลับไป เต๋เป็นเด็กชายวัยมัธยมปลายในเรื่องที่น่าสงสารที่สุดของเรื่องเลยก็ว่าได้ แม้เขาจะเป็นเด็กชายที่สมบูรณ์แบบและน่าชื่นชมมากเพียงใด แต่ความสมบูรณ์แบบที่เขาสร้างขึ้นมานั้นย่อมมีเหตุผลเสมอ เขาเป็นเด็กชายที่รักครอบครัวของเขา เขาอยากให้ม๊าภูมิใจในตัวเขา และเขาก็อยากให้ม๊ารู้ว่าเด็กมัธยมปลายแบบเขาก็สู้โก๊หุ้นผู้เป็นพี่ได้ เต๋เป็นเด็กชายที่ถูกคาดหวังจากม๊าของเขา เราจะสังเกตได้ว่าม๊าของเขาผิดหวังมากกับการที่เขายกสิทธิในการเรียนที่มหาวิทยาลัยอนันตศาสตร์ที่เขาเชิดชูให้กับเพื่อนที่รักอย่างโอ้เอ๋ว แต่ความผิดหวังนั้นก็มาพร้อมกับความรัก และเหตุผลนั้นก็เพียงพอสำหรับความรักของแม่อย่างจี้สุ่ย

ไม่เพียงแค่ตัวละครหลักอย่าง “เต๋” ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องเท่านั้น แต่นั่นรวมไปถึงตัวละครสำคัญอีกตัวอย่าง “โอ้เอ๋ว” เด็กหนุ่มวัยเดียวกับเต๋ ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนรักในสมัยเด็กของเต๋ เรื่องราวในสมัยเด็กของพวกเขาดำเนินไปอย่างเข้มข้นและงดงาม วัยเด็กของพวกเขาทั้งสองทับไปด้วยความบาดหมางในอดีต โดยตัวเรื่องได้กล่าวถึง “หยงเจี้ยน” ตัวละครจากหนังจีนชุด “กระบี่เย้ยจันทรา” ที่เต๋รักมากที่สุด ประกอบกับความฝันการอยากเป็นนักแสดงของเต๋ แต่น่าเสียดายที่ฝันของเต๋ต้องดับสลายไป เพราะผู้มารับบทหยงเจี้ยนที่เขารักคือเพื่อนรักของเขา “โอ้เอ๋ว” และหากผู้ชมได้ระลึกถึงอดีต เราอาจจะได้เห็นว่าในวัยเด็ก หลายๆท่านอาจเคยบาดหมางกับเพื่อน หรือใครสักคนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง และตัวซีรีส์ก็นำเรื่องนี้ออกมาเล่นกับใจของผู้ชมได้ดีทีเดียว

ภาพจากเพจ นาดาวบางกอก

หากเราได้ชมซีรีส์ เราจะได้เห็นว่า “โอ้เอ๋ว” เป็นเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างจะชัดเจนในความรู้สึกของตนเองมากๆ เขากล้าบอกกับเพื่อนรักอย่างเต๋ว่าเขากำลังชอบพอกับ “บาส” (แสดงโดย ขุนพล – ปองพล ปัญญมิตร) เพื่อนกลุ่มเดียวกับเต๋ และความชัดเจนของเขาก็มากพอที่จะทำให้เขาแสดงความรู้สึกกับเต๋อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ ในระหว่างที่เขากำลังมีความรู้สึกให้กับเต๋ เขาก็ห่างกับบาสทันที ทำให้ตัวละครนี้เป็นสัญลักษณ์ของความชัดเจนและพร้อมจะทำตามหัวใจตัวเองโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น สิ่งนี้จึงเป็นประเด็นหลักที่ทำให้โอ้เอ๋วไม่เคยเข้าใจในตัวเต๋ ว่าทำไมเต๋ถึงได้ลังเลกับความสัมพันธ์ระหว่างเขาแบบนั้น ทั้งที่ตัวเต๋เองก็รู้สึกเหมือนกับเขา

ภาพจากเพจ นาดาวบางกอก

“ดอกชบา” “มะพร้าว” และ “โอ้เอ๋ว” สัญญะไม่ลับที่ปรากฎอยู่ใน “แปลรักฉันด้วยใจเธอ”

“ดอกชบา” ผลไม้ที่เป็นสัญญะอย่าง “มะพร้าว” และของหวานขึ้นชื่อเมืองภูเก็ตอย่าง “โอ้เอ๋ว” คือสิ่งที่ตัวซีรีส์ต้องการจะสื่อถึง สัญญะภาพอันงดงามหลายภาพที่ซ่อนไว้ในเรื่อง ทั้งซีนที่เต๋และโอ้เอ๋วทัดดอกชบาให้กัน, ฉากที่เต๋สูดกลิ่นมะพร้าวอย่างหลงใหล รวมไปถึงฉากที่ตัวละครโอ้เอ๋วกำลังกินขนมซึ่งเป็นที่มาของชื่อตนเองอยู่ และเมื่อผู้ชมได้เห็นดอกชบาหรือมะพร้าว ก็จะหวนระลึกถึงฉากต่างๆในซีรีส์อย่างอดไม่ได้ ผู้ชมจะได้เห็น “ดอกชบา” จากหลายๆฉาก ซึ่งตัวเรื่องใช้ดอกชบาสีแดงแทนตัวละคร “โอ้เอ๋ว” และใช้สีม่วงเป็นตัวแทนเด็กสาวอย่าง “ตาล” โดยดอกชบาเป็นดอกไม้มีสัญญะที่สามารถตีความได้หลากหลาย ในที่สุดตัวซีรีส์ก็ทำให้เราได้รู้ความหมายของมันอย่างแท้จริง “ดอกไม้สองเพศ” สัญญะแห่งความหลากหลายทางเพศ นั่นทำให้เรามองดอกชบาที่เราเห็นได้ทั่วไปไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ภาพจากเพจนาดาวบางกอก

สีสันบนเสื้อผ้าและลวดลายของตัวละครที่ซ่อนความนัยแห่งสายสัมพันธ์ “เต๋ โอ้เอ๋ว และตาล”

หลังจากที่ได้ชม “In the mood for love” ภาพยนตร์จากราชาหนังเหงาหว่องกาไว ดวงตาของเราก็เริ่มให้ความสำคัญกับรายละเอียดในหนัง/ซีรีส์มากขึ้น หากในเรื่องห้วงรักเสน่หามีรายละเอียดเรื่องกี่เพ้าของคุณนายชานกับความรู้สึกของเธอที่มีต่อคุณเชา แปลรักฉันด้วยใจเธอก็คงไม่ได้แตกต่างกันนัก เพราะในซีรีส์เรื่อง “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” เราจะได้เห็นการแสดงงานศิลป์ผ่านเสื้อผ้าของตัวละครหลักทั้งคู่เช่นเดียวกัน สำหรับเต๋และโอ้เอ๋ว พวกเขาเลือกใช้สีฟ้าแทนตัวละครเต๋ และใช้สีแดงแทนตัวละครโอ้เอ๋ว ผู้ชมนักวิเคราะห์หลายท่านไม่อาจพลาดสิ่งนี้ เราจะเห็นได้ว่าครั้งแรกที่เราได้พบกับตัวละคร พวกเขาใช้สีฟ้าแทนตัวละครเต๋ และใช้สีแดงแทนตัวละครโอ้เอ๋วเช่นเคย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อความรู้สึกของเต๋ที่มีต่อโอ้เอ๋วก็เริ่มก่อตัวขึ้น เสื้อผ้าของพวกเขาเริ่มสลับสีกัน และในบางครั้งแม้เสื้อผ้าของพวกเขายังคงสื่อถึงความเป็นตัวเองอยู่ แต่ก็มักจะแต่งแต้มด้วยสีคู่ตรงข้ามอยู่เสมอ เสื้อผ้าของเต๋เริ่มกลายเป็นสีแดงเมื่อเขามีความรู้สึกกับโอ้เอ๋ว ในขณะเดียวกันเขาก็แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของโอ้เอ๋วที่มีต่อเต๋ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เสื้อผ้าของโอ้เอ๋วสลับเปลี่ยนเป็นสีฟ้าที่แทนตัวเต๋เช่นเดียวกัน แม้แต่ลวดลายของเสื้อก็เปลี่ยนไปตามความรู้สึกของตัวละคร และนั่นทำให้สัญญะ “ดอกชบา” และ “มะพร้าว” ได้ถูกหยิบนำมาใช้เป็นลวดลายของเสื้อผ้าได้อย่างโดดเด่นและงดงามมากจริงๆ

โดย: เบญจ์ บุญเจริญ

You May Also Like

More From Author

+ There are no comments

Add yours