*มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญในภาพยนตร์*
นอกเหนือจากความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความหวานเจือขมปร่าเหมือนกับบอระเพ็ดแล้ว ในโลกนี้ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความเป็นพิษที่เหล่ามนุษย์พร้อมทุ่มเทให้โดยที่รู้แก่ใจดีว่าถึงอย่างไรความสัมพันธ์นี้ก็ต้องจบลงในสักวัน คุณอาจเคยเจอเพื่อนของคุณที่รักแฟนของเขามากๆ พร้อมแลกทุกอย่างเพื่อเขาโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ ถึงเราจะรู้ว่าแฟนของเพื่อนเรามันทำตัวแย่แค่ไหน เพื่อนๆของคุณก็รู้ว่าแฟนของเธอทั้งท็อกซิก ใจยักษ์ใจมารและไม่รู้จักเห็นใจคนในความสัมพันธ์เลยสักนิด แต่เพราะอะไรกัน ทำไมเพื่อนของคุณถึงยังเลือกอยู่กับเขาอยู่ดี เหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นในชีวิตของคุณได้บ่อยครั้ง หากไม่เกิดกับเพื่อนของคุณ คุณก็อาจเป็นหนึ่งในคนที่จะเจอเรื่องแบบนี้
ก่อนหน้านั้นผู้เขียนได้พูดถึงภาพยนตร์เรื่อง In the mood for love ไปแล้ว วันนี้ก็ผู้เขียนยังคงวนเวียนอยู่กับความเหงาหงอยสไตล์หว่องกาไวอยู่เช่นเดิม ที่อยากเลือกเรื่องนี้ออกมาพูดถึงก็เพราะว่า Happy together เป็นหนังของหว่องกาไวที่ผู้เขียนดูซ้ำไปซ้ำมาเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน (สิ้นปีที่แล้วก็เพิ่งดูจบไป รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้) เพราะความรู้สึกมันยังคงค้างคาอยู่ ผู้เขียนจึงนำมันออกมาตีแผ่ให้ผู้อ่านได้ลองตกตะกอนมันอีกครั้งสำหรับคนที่ได้ชมแล้ว หรือบทความนี้อาจทำให้ใครที่ยังไม่ได้ชมได้รู้ถึงความน่าสนใจของมันไม่มากก็น้อย
อีกสิ่งหนึ่งที่อยากพูดถึง แม้ว่าผู้ชมท่านอื่นๆที่ได้รับชมเรื่องนี้ไปแล้วจะชื่นชมกับศิลป์อันงดงามจากตัวหนัง ผู้เขียนก็ขอเป็นอีกหนึ่งคนที่ขอชื่นชมองค์ประกอบของภาพ มุมกล้อง และเพลงประกอบที่จะทำให้ทุกคนจดจำไปชั่วชีวิตเช่นเดียวกับการชมภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ
“หนังแห่งการมูฟออน” ผู้เขียนเรียกภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้อย่างนั้น หากใครคิดอยากดูเรื่องนี้ตอนที่เพิ่งเลิกกับแฟนใหม่ๆล่ะก็ คงต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามันอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เว้นเสียแต่ว่าคุณอยากตอกย้ำตัวเองให้เสียใจเพื่อความสบายใจของคุณเองเท่านั้น และหลังจากที่คุณได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว คุณอาจไม่ร้องไห้ อาจยินดีที่ได้จบความสัมพันธ์กับคนท็อกซิก หรือบางทีหนังเรื่องนี้มันอาจทำให้ความรู้สึกเศร้าของคุณทำงานขึ้นมาจนอยากจะร้องไห้ออกมาเลยก็ได้เหมือนกัน
“มาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ” ถ้อยคำสุดคลาสสิคสำหรับเหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์อันแห้งเหี่ยวของโหเป่าหวังและไหลเยี่ยฟา
Happy together เป็นเรื่องเกี่ยวกับคู่รักชายสองคน ไหลเยี่ยฟา (เหลียงเฉาเหว่ย) และ โหเป่าหวัง (เลสลี่ จาง) ที่เดินทางไปที่ประเทศอาร์เจนตินา เพื่อทำตามคำมั่นสัญญาว่าจะไปน้ำตกอีกวาซูด้วยกัน ช่วงแรกเราจะเห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาระหองระแหง การรักๆเลิกๆบ่งบอกว่าแท้จริงพวกเขาไม่สามารถแยกจากกันได้เลย และความแห้งเหี่ยวของความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นนำไปสู่ความสัมพันธ์เป็นพิษที่ยากเกินกว่าจะทำใจเดินออกจากชีวิตของกันและกันได้
ไหลเยี่ยฟาและโหเป่าหวังแยกจากกันเพียงชั่วครู่เพราะทะเลาะกันบ่อยๆ แต่แล้วเพราะคำว่า “มาเริ่มต้นใหม่กันเถอะ” ของโหเป่าหวัง ไหลเยี่ยฟาที่ได้ยินแบบนั้นก็เป็นต้องใจอ่อนอยู่เสมอ จนเมื่อวันที่โหเป่าหวังต้องการเป็นอิสระมาถึง ไหลเยี่ยฟาก็ยินยอมปลดปล่อยอีกฝ่ายไปทั้งที่เสียใจมากเหลือเกิน สุดท้ายแล้วก็เป็นไหลเยี่ยฟาที่ต้องยอมรับความจริงว่า มันจะต้องเป็นเพียงตัวเขาที่ได้ไปเยือนน้ำตกอีกวาซูนั่นเพียงคนเดียวโดยไร้เงาของโหเป่าหวังข้างกายเขา แม้แต่ไหลเยี่ยฟาเองก็เป็นฝ่ายที่ต้องยอมรับความจริงเช่นกันเมื่อรู้ว่าไหลเยี่ยฟาจะไม่กลับมาอีกแล้ว
Dancing Scene ฉากเต้นรำที่เต็มไปด้วยรสหวานเจือรสขมปร่าก่อนที่พายุแห่งความเป็นพิษจะกระหน่ำซ้ำจนต้องแยกจากกันอย่างถาวร
ฉากเต้นรำในภาพยนตร์ของหว่องกาไว เป็นฉากที่ไม่ว่าใครๆก็พูดถึง เขามักใส่ฉากเต้นรำของตัวละครลงไปในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น Days of being wild, Chungking express หรือแม้แต่ In the mood for love ก็มีฉากเต้นของพระนางเช่นเดียวกัน (เสียดายที่ฉากดีๆอย่างนี้กลับกลายเป็นดีลีทซีนไปเสียอย่างนั้น) จนมาถึงฉากเต้นรำของไหลเยี่ยฟาและโหเป่าหวังซึ่งเป็นฉากที่ผู้เขียนชอบมากที่สุด เนื่องจากเป็นฉากที่พวกเขาทั้งคู่ได้ใช้เวลาดีๆร่วมกันก่อนที่พวกเขาจะกลับมาทะเลาะกันอย่างรุนแรงและได้จบความสัมพันธ์กันอีกครั้ง เรียกว่าเป็นซีนมาสเตอร์พีซก่อนที่พายุความสัมพันธ์เป็นพิษจะโหมกระหน่ำทั้งคู่จนต้องแยกจากกันเลยก็ว่าได้
“น้ำตกอีกวาซู” ลายบนโคมไฟที่เชื่อมสัมพันธ์ของทั้งคู่ และ “น้ำตกอีกวาซู” ที่โหมกระหน่ำรุนแรงเหมือนกับความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่
โคมไฟรูปน้ำตก เป็นสิ่งที่ผู้เขียนชอบและสนใจมากที่สุด เพราะหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้หลายต่อหลายครั้ง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันตั้งแต่แรก เมื่อกลับมาดูซ้ำอีกหลายครั้งก็ได้พบว่าลายบนโคมไฟนั้นเปรียบเสมือนสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งคู่เอาไว้ พวกเขาจึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะไปดูน้ำตกบนลายโคมไฟนี้ด้วยกัน ซึ่งก็คือน้ำตกอีกวาซู ที่สุดท้ายแล้วก็เป็นไหลเยี่ยฟาเพียงคนเดียวที่ได้ไปชมน้ำตกแห่งนี้เพราะต้องเลิกรากับโหเป่าหวังไปเสียก่อน และเช่นเดียวกัน ผู้ที่ชมหนังเรื่องนี้ก็จะได้เห็นว่าน้ำตกอีกวาซูที่โหมกระหน่ำซัดสาดกระทบลงบนผืนน้ำอย่างรุนแรงนั้น ช่างไม่ได้ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ของไหลเยี่ยฟาและโหเป่าหวังเลยแม้แต่น้อย
“Buenos Aires” พื้นที่ปลอดภัยสำหรับคู่รักเพศทางเลือกอย่างไหลเยี่ยฟาและโหเป่าหวัง
ผู้กระทำความหว่องมักรู้กันว่า หว่องกาไวมักสอดแทรกการเมืองลงในหนังของเขา แม้แต่ Happy together ก็เช่นเดียวกัน เพราะเนื่องจากฮ่องกงในสมัยนั้นไม่มีพื้นที่ให้เกย์ คู่เกย์อย่างไหลเยี่ยฟาและโหเป่าหวัง จึงไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้เขาทั้งคู่จึงเลือกประเทศอาร์เจนตินาเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคู่รักเกย์เพื่อมีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขโดยไม่ถูกรุกรานจากใคร
ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใดหลายคนจึงเลือกอยู่ในความสัมพันธ์เป็นพิษ เพราะหากมันเป็นอย่างนั้น ผู้เขียนคิดได้เพียงว่ามันมีเหตุผลเดียว ซึ่งเหตุผลนั้นก็คือ “รัก” เมื่อเรามีรักที่ไม่เฮลตี้ เราจึงลืมเลือนตนเองไป พวกเขายินยอมที่จะใช้ชีวิตอยู่กับอีกฝ่ายทั้งที่รู้ว่าตัวเองจะเจ็บปวดอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็ยังหวังให้ทุกท่านได้พบกับความรักดีๆที่ไม่ท็อกซิก และไม่บั่นทอนหัวใจของใครให้เสียใจ
แม้ว่าสุดท้ายแล้วไหลเยี่ยฟาและโหเป่าหวังจะไม่ได้ลงเอยกันอย่างมีความสุขเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่าการตัดสินใจของเขาทั้งคู่นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง หากการอยู่ด้วยกันแล้วต้องบั่นทอนหัวใจกันอย่างนั้นแล้ว ไม่ว่าจะกลับมาหากันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ มันก็เหมือนอ่านหนังสือเล่มเดิมๆที่ตอนจบไม่ได้ต่างออกไปจากเดิมเลย
+ There are no comments
Add yours